โครงการในพระราชดำริ
จัดทำโดย
ด.ญ. จณิสตา
จินาชื่น
เลขที่
14 ม.2/11
คุณครูผู้สอน
คุณครู
สุนันทา ดนัยสร
โรงเรียนวรนารีเฉลิม
จังหวัดสงขลา
คำนำ
รายงานเล่มนี้่่จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชา
ง
22102ชั้น…เพื่อให้ได้ศึกษาหาความรู้ในเรื่่อง
โครงการพระราชดำริ และได้ศึกษาอย่างเข้าใจเพื่อเป็นประโยชน์กับการเรียน
ผู้จัดทำหวังว่า รายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน
หรือนักเรียน นักศึกษา ที่กำลังหาข้อมูลเรื่องนี้อยู่
หากมีข้อแนะนำหรือข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำขอน้อมรับไว้และขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้จัดทำ
จณิสตา
จินดาชื่น
สารบัญ
เรื่อง หน้า
1.โครงการฝนหลวง 1-2
2.โครงการชั่งหัวมัน 3-4
3.โครงการกังหันชัยพัฒนา 5-6
4.โครงการพระราชดําริ
ฝายชะลอน้ํา 7-8
7.โครงการแก้มลิง 9-10
โครงการฝนหลวง
ประวัติของโครงการฝนหลวง
เมื่อคราวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกร เมื่อปี พ.ศ. 2498 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ได้ทรงรับทราบถึงความเดือดร้อนทุกข์ยากของราษฎรและเกษตรกรที่ขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคและการเกษตร
จึงได้มีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานโครงการพระราชดำริ "ฝนหลวง"(Artificial
rain) ให้กับ แมวเทพฤทธิ์ เทวกุล ไปดำเนินการ
ซึ่งต่อมาได้เกิดเป็นโครงการค้นคว้าทดลองปฏิบัติการฝนเทียมหรือฝนหลวงขึ้น
ในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อปี พ.ศ. 2512 ด้วยความสำเร็จของ โครงการ จึงได้ตราพระราชกฤษฎีการก่อตั้งสำนักงานปฏิบัติการฝนหลวงขึ้นในปี
พ.ศ. 2518 ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เพื่อเป็นหน่วยงานรองรับโครงการพระราชดำริฝนหลวงต่อไปในรูป
การทำฝนเทียมหรือฝนหลวงเป็นกรรมวิธีการเหนี่ยวนำน้ำจากฟ้า ใช้เครื่องบินบรรจุสารเคมีขึ้นไปโปรยในท้องฟ้า โดยดูจากความชื้นของเมฆและสภาพทิศทางลมประกอบกัน ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดฝนคือ ความร้อนชื้นปะทะความเย็น และมีแกนกลั่นตัวที่มีประสิทธิภาพในปริมาณที่เหมาะสม กล่าวคือ เมื่อมวลอากาศร้อนชื้นที่ระดับผิวพื้นขึ้นสู่อากาศเบื้องบน อุณหภูมิของมวลอากาศจะลดต่ำลงจนถึงความสูงที่ระดับหนึ่ง หากอุณหภูมิที่ลดต่ำลงนั้นมากพอก็จะทำให้ไอน้ำในมวลอากาศอิ่มตัว จะเกิดขบวนการกลั่นตัวเองของไอน้ำในมวลอากาศขึ้นบนแกนกลั่นตัว เกิดเป็นฝนตกลงมา ฉะนั้นสารเคมีที่ใช้จึงประกอบด้วย "สูตรร้อน" ใช้เพื่อกระตุ้นเร่งเร้ากลไกการหมุนเวียนของบรรยากาศ, "สูตรเย็น" ใช้เพื่อกระตุ้นกลไกการรวมตัวของละอองเมฆให้โตขึ้นเป็นเม็ดฝน และสูตรที่ใช้เป็นแกนดูดซับความชื้น เพื่อใช้กระตุ้นกลไกระบบการกลั่นตัวให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
ขั้นตอนการทำฝนหลวง
ขั้นตอนที่หนึ่ง :
"ก่อกวน"
เป็นขั้นตอนที่เมฆธรรมชาติเริ่มก่อตัวทางแนวตั้ง
การปฏิบัติการในขั้นตอนนี้มุ่งใช้สารเคมีกระตุ้นให้มวลอากาศลอยตัวขึ้นสู่เบื้องบน
เพื่อให้เกิดกระบวนการชักนำไอน้ำหรือความชื้นเข้าสู่ระบบการเกิดเมฆ
ระยะเวลาที่จะปฏิบัติการในขั้นตอนนี้ไม่ควรเกิน 10.00 น. ของแต่ละวัน โดยการใช้สารเคมีที่สามารถดูดซับไอน้ำจากมวลอากาศได้
แม้จะมีเปอร์เซ็นต์ความชื้นสัมพัทธ์ค่า critical relative humidity ต่ำ) เพื่อกระตุ้นกลไกของกระบวนการกลั่นตัวไอน้ำในมวลอากาศ
(เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเมฆด้วย)
ทางด้านเหนือลมของพื้นที่เป้าหมาย เมื่อเมฆเริ่มก่อตัวและเจริญเติบโตทางตั้งแล้ว
จึงใช้สารเคมีที่ให้ปฏิกิริยาคายความร้อนโปรยเป็นวงกลมหรือเป็นแนวถัดมาทางใต้ลมเป็นระยะทางสั้น
ๆ เข้าสู่ก้อนเมฆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดกลุ่มแกนร่วม (main cloud core) ในบริเวณปฏิบัติการ สำหรับใช้เป็นศูนย์กลางที่จะสร้างกลุ่มเมฆฝนในขั้นตอนต่อไป
ขั้นตอนที่สอง :
"เลี้ยงให้อ้วน"
เป็นขั้นตอนที่เมฆกำลังก่อตัวเจริญเติบโตซึ่งเป็นระยะสำคัญมากในการปฏิบัติการ
เพราะจะต้องเพิ่มพลังงานให้แก่ updraft ให้ยาวนานออกไป
ต้องใช้เทคโนโลยีและประสบการณ์การทำฝนควบคู่ไปพร้อมกันเพื่อตัดสินใจโปรยสารเคมีชนิดใด
ณ ที่ใดของกลุ่มก้อนเมฆ และในอัตราใดจึงเหมาะสม
เพราะต้องให้กระบวนการเกิดละอองเมฆสมดุลกับความแรงของ updraft มิฉะนั้นจะทำให้เมฆสลาย
ขั้นตอนที่สาม :
"โจมตี"
เป็นขั้นตอนสุดท้ายของกรรมวิธีปฏิบัติการฝนหลวง
เมฆ หรือ กลุ่มเมฆฝนมีความหนาแน่นมากพอที่จะสามารถตกเป็นฝนได้
ภายในกลุ่มเมฆจะมีเม็ดน้ำขนาดใหญ่มากมาย
หากเครื่องบินเข้าไปในกลุ่มเมฆฝนนี้จะมีเม็ดน้ำเกาะตามปีกและกระจังหน้าของเครื่องบิน
เป็นขั้นตอนที่สำคัญ ต้องอาศัยประสบการณ์มาก
เพราะจะต้องปฏิบัติการเพื่อลดความรุนแรงของ updraft หรือทำให้อายุของ updraft หมดไป
สำหรับการปฏิบัติการในขั้นตอนนี้ จะต้องพิจารณาจุดมุ่งหมายของการทำฝนหลวง
ซึ่งมีอยู่ 2 ประเด็นคือเพื่อเพิ่มปริมาณฝนตก
และเพื่อให้เกิดการกระจายการตกของฝน จึงทำให้เกิดฝนขึ้น
ที่มา https://th.wikipedia.org/wiki/ฝนหลวง
โครงการชั่งหัวมัน
ประวัติความเป็นมา
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๑
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงซื้อที่ดินจาดราษฎรบริเวณอ่างเก็บน้ำหนองเสือ ประมาณ
๑๒๐ ไร่ และต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ทรงซื้อแปลงติดกันอีก ๑๓๐ ไร่ ร่วมเนื้อที่ทั้งหมด
๒๕๐ ไร่ โโยมีพระราชดำริให้ทำเป็นโครงการตัวอย่างด้านการเกษตร
รวบรวมพันธุ์พืชเศรษฐกิจในพื้นที่อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี
และพื้นที่ใกล้เคียงมาปลูกไว้ที่นี้ โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๑๓ กรกฎาคม
พ.ศ.๒๕๕๒ เป็นต้นมา
และพระราชทานพันธุ์มันเทศซึ่งออกมาจากหัวมันที่ตั้งโชว์ไว้บนตาชั่งในห้องทรงงานที่วังไกลกังวลให้มาปลูกไว้ที่นี่
พระราชทานชื่อโครงการว่า "โครงการชั่งหัวมัน ตามพระราชดำริ"
ชั่งหัวมัน" หมายถึง
การชั่งนำหนักหัวมันเทศ
พื้นที่ตั้งนี้อยู่ที่
บ้านหนองคอไก่ ตำบลเขากระปุก อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี คุณดิสธร วัชโรทัย
รองเลขาพระราชวัง ได้กรุณาให้ข้อมูลที่มาของโครงการชั่งหัวมันว่า
ครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสร็จไปประทับที่พระราชวังไกลกังวล
ทรงมีพระราชประสงค์ให้นำมันเทศที่ชาวบ้านนำมาถวาย วางไว้บนตาชั่งโบราณ
แล้วพระองค์เสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงเทพฯ
พอพระองค์เสด็จพระราชดำเนินกลับพระราชวังไกลกังวล
จึงพบว่ามันเทศที่วางไว้บนตาชั่งมีใบงอกออกมา
จึงรับสั่งให้นำหัวมันนั้นไปปลูกไว้ในกระถางไว้ในวังไกลกังวล แล้วทรงมีพระราชดำรัสให้หาพื่นที่
เป้าหมายของโครงการชั่งหัวมัน
ตามพระราชดำริ
โครงการชั่งหัวมัน
ตามพระราชดำริ เป้าหมายต้องการให้เป็นศูนย์ร่วมพืชเศรษฐกิจของ อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี
โดยเลือกพันธุ์พืชที่ดีที่สุดของท้องถิ่นเข้ามาปลูก แล้วให้ภาครัฐและชาวบ้านร่วมดูแลด้วยกัน
เพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิด คุณดิสธร
บอกว่าโครงการชั่งหัวมันเป็นการบริหารทรัพยากรแบบบูรณาการ
โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้คุ้มค่ามากที่สุด
ขณะเดียวกันก็พยายามเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส
โดยคาดว่าอนาคตจะเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับประชาชนโดยทั่วไปเข้าชมที่ตั้งของโครงการอยู่ที่
บ้านหนองคอไก่ตำบลเขากระปุก อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี
ที่มาhttps://kannikar.wikispaces.com/โครงการชั่งหัวมัน
โครงการกังหันชัยพัฒนา
กังหันน้ำชัยพัฒนา
เป็น กังหันน้ำเพื่อบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีการเติมอากาศ สิทธิบัตรในพระปรมาภิไธย
เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำแก่ปวงชน ทำงานโดย
การหมุนปั่น เพื่อเติมอากาศให้น้ำเสียกลายเป็นน้ำดี สามารถประยุกต์ใช้บำบัดน้ำเสีย
จากการอุปโภคของประชาชน น้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งเพิ่มออกซิเจน
ให้กับบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทางการเกษตร
ส่วนประกอบโครงการกังหันชัยพัฒนา
กังหันชัยพัฒนา
เป็นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่นลอย (สามารถลอยขึ้นลงได้เองตามระดับน้ำ)ประกอบด้วยซองวิดน้ำ
มีใบพัดที่ออกแบบเป็น ซองตักน้ำรูปสี่เหลี่ยมคางหมูจำนวน 6
ซองแต่ละซองจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ห้องเท่าๆ กัน ทั้งหมดถูกติดตั้งบนโครงเหล็ก 12
โครงใน 2 ด้านมีศูนย์กลางของกังหันที่เรียกว่า "เพลากังหัน"
ซึ่งวางตัวอยู่บนตุ๊กตารองรับเพลา ที่ติดตั้งอยู่บนทุ่นลอย และมีระบบขับส่งกำลัง
ด้วยเฟืองจานขนาดใหญ่ ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 2 แรงม้า สำหรับขับเคลื่อนซองน้ำ
ให้หมุนรอบเป็นวงกลม อยู่บนโครงเหล็กที่ยึดทุ่นทั้ง 2 ด้านเข้าไว้ด้วยกันด้านล่างของกังหันในส่วนที่จมน้ำ
จะมีแผ่นไฮโดรฟอยล์ยึดปลายของทุ่นลอยด้านล่าง
จุดเริ่มต้นของกังหันน้ำชัยพัฒนา
กังหันน้ำชัยพัฒนาสร้างขึ้น
เพื่อการแก้มลพิษทางน้ำซึ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นในหลายพื้นที่วิวัฒนาการของกังหันน้ำชัยพัฒนานั้น
เริ่มจากการสร้างต้นแบบได้ครั้งแรกในปี 2532
แล้วนำไปติดตั้งยังพื้นที่ทดลองเพื่อแก้ปัญหาไปพร้อมๆ กันทั้งนี้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชดำริ ให้มูลนิธิชัยพัฒนาดำเนินการวิจัย
และพัฒนากังหันน้ำ ซึ่งโครงสร้างและส่วนประกอบ ในส่วนที่เป็นปัญหา
ได้รับการแก้ไขมาโดยตลอด นับแต่มีการสร้างเครื่องต้นแบบในด้านโครงสร้างนั้นได้พัฒนาให้กังหันน้ำหมุนด้วยความเร็ว
1,450 รอบต่อนาที โดยที่ซองตักน้ำหมุนด้วยความเร็ว 5 รอบต่อนาที ขับด้วยมอเตอร์ขนาด 2 แรงม้า และมีการปรับปรุง
โครงสร้างในรูปแบบต่างๆ เช่น ออกแบบตัวเครื่องให้สามารถ
ขับเคลื่อนด้วยคนเพื่อใช้ในแหล่งน้ำ ที่ไฟฟ้ายังเข้าไปไม่ถึง เป็นต้น
ด้านประสิทธิภาพสามารถถ่ายเทออกซิเจนลงน้ำได้
0.9 กิโลกรัมต่อแรงม้าต่อชั่วโมง
และมีการพัฒนาให้ถ่ายเทออกซิเจนได้ 1.2 กิโลกรัมต่อแรงม้า-ชั่วโมง
โครงการพระราชดําริ
ฝายชะลอน้ํา
ฝายแม้ว เป็นชื่อเรียก
โครงการตามแนวพระราชดำริ เกี่ยวกับ วิศวกรรม แบบพื้นบ้าน
ฝายแม้วเป็นฝายชะลอน้ำกึ่งถาวรประเภทหนึ่ง ประเภทเดียวกับฝายคอกหมู
โดยใช้วัสดุที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น เช่นกิ่งไม้ ก้อนหิน เพื่อกั้นชะลอน้ำในลำธาร
หรือทางน้ำเล็กๆ ให้ไหลช้าลง
และขังอยู่ในพื้นที่นานพอที่จะพื้นที่รอบๆจะได้ดูดซึมไปใช้
เป็นการฟื้นฟูพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมให้เกิดความชุ่มชื้นมากพอที่จะพัฒนาการเป็นป่าสมบูรณ์ขึ้นได้
ฝายแม้วยังอาจใช้เพื่อการทดน้ำ
ให้มีระดับสูงพอที่จะดึงน้ำไปใช้ในคลองส่งน้ำได้ในฤดูแล้ง
โครงการตามแนวพระราชดำรินี้ได้มีการทดลองใช้ที่ โครงการห้วยฮ่องไคร้ จ.เชียงใหม่
และประสบผลสำเร็จจนเป็นตัวอย่างให้กับโครงการอื่นๆต่อมา
ฝายชะลอน้ำสร้างขวางทางไหลของน้ำบนลำธารขนาดเล็กไว้ เพื่อชะลอการไหล-
ลดความรุนแรงของกระแสน้ำ ลดการชะล้างพังทลายของตลิ่ง - เมื่อน้ำไหลช้าลง
ก็มีน้ำอยู่ในลำห้วยนานขึ้น โดยเฉพาะในหน้าแล้ง - ช่วยดักตะกอนที่ไหลมากับน้ำ
ลดการตื้นเขินที่ปลายน้ำ ทำให้น้ำใสมีคุณภาพดีขึ้น - ช่วยให้ดินชุ่มชื้น
ป่ามีความอุดมสมบูรณ์ เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ - สัตว์ป่า สัตว์น้ำ
ได้อาศัยน้ำในการดำรงชีวิต คืนพืชแก่เนินเขา/ภูเขาหัวโล้น - ดินชื้น ป่าก็ชื้น
กลายเป็นแนวกันไฟป่า ลดความรุนแรงของไฟได้
ลดผลกระทบต่อระบบนิเวศน์
ในระยะยาว ดังนี้
๑. ฝายที่เราสร้างขึ้นมา
เป็นฝายแบบไม่ถาวร ให้วัสดุจากธรรมชาติ เป็นหลัก สำหรับชะลอน้ำ ในหน้าแล้งเท่านั้น
ไม่ได้สร้างเพื่อกักเก็บน้ำ การไหลของน้ำ ที่หน้าฝาย ยังมีน้ำไหลอยู่ ตลอดเวลา
ไม่ว่าจะซึมผ่านฝาย หรือ น้ำล้นข้ามฝาย
๒. ระดับความสูงของตัวฝาย
ไม่สูงมากนัก ระดับความสูงประมาณ ๔๐ % ของความสูงของระดับน้ำสูงสุด
ในลำคลองหรือลำห้วย สายน้ำยังสามารถไหลล้นผ่านฝายได้ ตลอดเวลา
เพื่อยังรักษาระบบนิเวศน์ หน้าฝายไว้
๓ ตัวฝายควรมีระดับความลาดชัน ประมาณ
๒๐ - ๔๕ องศา ทั้งด้านหน้า และ ด้านหลัง ไม่ควรสร้างฝาย ที่มีหน้าตัด ๙๐ องศา
๔. การก่อสร้างจะสร้างเป็นช่วงๆ แบบ
ขั้นบันได เป็นช่วงๆ ระยะขึ้นอยุ่กับพื้นที่ ประมาณ ๕๐ - ๒๐๐ เมตร ๔
งบประมาณการก่อสร้างเราแทบจะไม่มี เพียงช่วยกันขนหิน ที่ระเกะ ระกะ อยุ่ตามลำคลอง
มาจัดเรียงใหม่ เท่านั้น เป็นการออกกำลังกายไปในตัว หากไม่มีหิน
เราก็จะใช้กระสอบทราย
๕. หากหน้าน้ำ มีน้ำมา ฝายนี้ก็จะพังทลาย ลง (ช่วยลดความเร็วของกระแสน้ำป่า
ลงได้) หินที่ก่อเรียงตัวไว้ ก็จะพัง และ ไหลลงมาสู่ตัวฝาย ด้านล่าง ต่อไป
๖. พอหมดหน้าน้ำป่า น้ำเกือบจะใกล้แห้ง เราก็หาเวลามาออกกำลังกาย
มายกก้อนหินกลับไปเรียง เป็นฝายชะลอน้ำ ตามเดิม (ส่วนใหญ่แล้ว จะยังหลงเหลือ
โครงสร้างเดิมอยู่บ้าง) ใช้เวลาก่อสร้าง ประมาณ ๑-๒ ชม. ต่อฝายเท่านั้น
๗. ควรคำนึงถึง สัตว์น้ำ
ที่อาศัยในลำคลองด้วยว่า สามารถเดินทางไปยังต้นน้ำได้หรือไม่ เพราะเราตั้งใจว่า “ในน้ำต้องมีปลา ในป่าต้องมีน้ำ
| ที่มา : http://itoutlearning.blogspot.com/2011/02/blog-pos |
โครงการแก้มลิง
ความเป็นมาของโครงการแก้มลิง
โครงการแก้มลิง
เป็นแนวคิดในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อแก้ปัญหาอุทกภัย
โดยพระองค์ทรงตระหนักถึงความรุนแรงของอุทกภัยที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร เมื่อปี
พ.ศ.2538 จึงมีพระราชดำริ "โครงการแก้มลิง" ขึ้น เมื่อวันที่ ๑๔
พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๓๘ โดยให้จัดหาสถานที่เก็บกักน้ำตามจุดต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร
เพื่อรองรับน้ำฝนไว้ชั่วคราว เมื่อถึงเวลาที่คลองพอจะระบายน้ำได้จึงค่อยระบายน้ำจากส่วนที่กักเก็บไว้ออกไป
จึงสามารถลดปัญหาน้ำท่วมได้
ทั้งนี้
นอกจากโครงการแก้มลิงจะมีขึ้นเพื่อช่วยระบายน้ำ
ลดความรุนแรงของปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพมหานครและบริเวณใกล้เคียงแล้ว
ยังเป็นการช่วยอนุรักษ์น้ำและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย โดยน้ำที่ถูกกักเก็บไว้ เมื่อถูกระบายสู่คูคลอง
จะไปบำบัดน้ำเน่าเสียให้เจือจางลง
และในที่สุดน้ำเหล่านี้จะผลักดันน้ำเสียให้ระบายออกไปได้
แนวคิดของโครงการแก้มลิง
แนวคิดของโครงการแก้มลิง
เกิดจากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
มีพระราชดำริถึงลิงที่อมกล้วยไว้ในกระพุ้งแก้มได้คราวละมากๆ
จึงมีพระราชกระแสอธิบายว่า "ลิงโดยทั่วไปถ้าเราส่งกล้วยให้ ลิงจะรีบปอกเปลือก
เอาเข้าปากเคี้ยว แล้วนำไปเก็บไว้ที่แก้มก่อน
ลิงจะทำอย่างนี้จนกล้วยหมดหวีหรือเต็มกระพุ้งแก้ม จากนั้นจะค่อยๆ
นำออกมาเคี้ยวและกลืนกินภายหลัง" ด้วยแนวพระราชดำรินี้ จึงเกิดเป็น
"โครงการแก้มลิง" ขึ้น เพื่อสร้างพื้นที่กักเก็บน้ำ
ไว้รอการระบายเพื่อใช้ประโยชน์ในภายหลัง
ประเภทของโครงการแก้มลิง โครงการแก้มลิงมี ๓ ขนาด คือ
๑. แก้มลิงขนาดใหญ่ ( Retarding
Basin) คือ สระน้ำหรือบึงขนาดใหญ่ ที่รวบรวมน้ำฝนจากพื้นที่บริเวณนั้นๆ
โดยจะกักเก็บไว้เป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะระบายลงสู่ลำน้ำ
พื้นที่เก็บกักน้ำเหล่านี้ได้แก่ เขื่อน อ่างเก็บน้ำ ฝาย ทุ่งเกษตรกรรม เป็นต้น
ลักษณะสิ่งก่อสร้างเหล่านี้จะมีวัตถุประสงค์อื่นประกอบด้วย เช่น เพื่อการชลประทาน
เพื่อการประมง เป็นต้น
๒. แก้มลิงขนาดกลาง
เป็นพื้นที่ชะลอน้ำที่มีขนาดเล็กกว่า ก่อสร้างในระดับลุ่มน้ำ
มักเป็นพื้นที่ธรรมชาติ เช่น หนอง บึง คลอง เป็นต้น
๓. แก้มลิงขนาดเล็ก
(Regulating Reservoir) คือแก้มลิงที่มีขนาดเล็กกว่า
อาจเป็นพื้นที่สาธารณะ สนามเด็กเล่น ลานจอดรถ หรือสนามในบ้าน ซึ่งต่อเข้ากับระบบระบายน้ำหรือคลอง
ทั้งนี้แก้มลิงที่อยู่ในพื้นที่เอกชน เรียกว่า "แก้มลิงเอกชน"
ส่วนที่อยู่ในพื้นที่ของราชการและรัฐวิสาหกิจจะเรียกว่า
"แก้มลิงสาธารณะ"
การจัดหาและออกแบบโครงการแก้มลิง
การพิจารณาจัดหาพื้นที่กักเก็บน้ำนั้น
ต้องทราบปริมาตรน้ำผิวดินและอัตราการไหลผิวดินที่มากที่สุดที่จะยอมปล่อยให้ออกได้ในช่วงเวลาฝนตก
โดยสิ่งสำคัญคือต้องจัดหาพื้นที่กักเก็บให้พอเพียง
เพื่อจะได้ไม่เป็นปัญหาในการระบายน้ำ ปัจจุบันมีแก้มลิงทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ่กระจายอยู่ทั่วกรุงเทพมหานคร
กว่า 20 จุด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ทางฝั่งธนบุรี เนื่องจากมีคลองจำนวนมาก
และระบายน้ำออกทางแม่น้ำเจ้าพระยา
ทั้งนี้โครงการแก้มลิงแบ่งเป็น ๒ ส่วนคือ
โครงการระบายน้ำในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา โดยจะใช้คลองที่ตั้งอยู่ชายทะเลด้านจังหวัดสมุทรปราการ
ทำหน้าที่เป็นทางเดินของน้ำ ตั้งแต่จังหวัด สระบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี
นนทบุรี และกรุงเทพมหานครส่วนที่สอง
คือคลองในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งจะใช้คลองมหาชัย คลองสนามชัย
และแม่น้ำท่าจีน ทำหน้าที่เป็นคลองรับน้ำในพื้นที่ตั้งแต่จังหวัดอ่างทอง อยุธยา
ปทุมธานี นครปฐม และกรุงเทพมหานคร แล้วระบายลงสู่ทะเลด้านจังหวัดสมุทรสาคร นอกจากนี้ยังมีโครงการแก้มลิง
"แม่น้ำท่าจีนตอนล่าง" เพื่อช่วยระบายน้ำที่ท่วมให้เร็วขึ้น
โดยใช้หลักการควบคุมน้ำในแม่น้ำท่าจีน คือ เปิดการระบายน้ำจำนวนมากลงสู่อ่าวไทย
เมื่อระดับน้ำทะเลต่ำ ซึ่งโครงการนี้จะประกอบไปด้วย ๓ โครงการในระบบคือ
๑.โครงการแก้มลิง
"แม่น้ำท่าจีนตอนล่าง
๒.โครงการแก้มลิง
"คลองมหาชัย-คลองสนามชัย"
๓.โครงการแก้มลิง "คลองสุนัขหอน"
ด้วยพระปรีชาญาณ
และพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ที่ทรงห่วงใยพสกนิกรของพระองค์
"โครงการแก้มลิง" จึงเกิดขึ้น และช่วยบรรเทาวิกฤต
และความเดือดร้อนจากน้ำท่วมรอบกรุงเทพมหานคร และปริมณฑลให้เบาบางลงไปได้
โดยอาศัยเพียงแค่วิธีการทางธรรมชาติ
บรรณานุกรม
ที่มา https://th.wikipedia.org/wiki/ฝนหลวง (15/11/59)
ที่มาhttps://kannikar.wikispaces.com/โครงการชั่งหัวมัน (15/11/59)






ชอบมากครับ ขอบคุณครับ
ReplyDeleteเนื้อหาหลากหลาย
ReplyDeleteเนื้อหาอ่านง่ายมากเลย
ReplyDelete